Thursday, February 08, 2007

ใกล้จะถึงวัน แห่งความรักแล้วนะ เรายังม่ยยู้ว่าจาทามรายเลยอ่ะ อืมแต่ตอนนี้เรารู้แค่ว่าเราอ่ะรักคนคนหนึ่งมากมากเลย เราก้อรู้นะว่าเค้าก้อรักเรามากเช่นกัน
เราสัญยานะว่าเราจะทามทุกทุกวันที่อยู่ด้วยกันหั้ยมีความสุขที่สุข เราจะม่ายคิดถึงอนาคต เพราะอนาคตเป็นสิ่งที่ม่ายแน่นอน เราต้องรูอยู่แค่ว่าปัจจุบันเรารัก เราซื่อตรงอยู่กะคนคนนี้ก้อพอแล้ว เรารักเค้าด้วยหัวจัยที่เราสามารถจะหั้ยคนคนหนึ่งด้าย ความรักมานเป็นสิ่งที่สวยงามนะทุกทุกคนที่มีความรักก้อคงคิดเช่นนั้นเหมือนกันใช่ไหม เราจงรักษาความรักของเราไว้หั้ยดีที่สุดนะ จงจามไว้ ว่าอย่าทามหั้ยเค้าเสียจัยเด็ดขาด นัยเมื่อเราตัดสินจัยป่ายแล้วว่าเรา เลือกเค้าเค้าจาต้องมาเป็นอีกครึ่งหนึ่งของชีวิตเรา
เมื่อเราม่ายเข้าจัยกันเราก้อควรอย่าใช้แต่อารมณ์เปงใหญ่ เราต้องใช้เหตุผลคุยกัน
แฟนของเราบอกกะเราเสมอว่า เราต้องทามทุกวันเวลาที่เราอยู่ด้วยกันหั้ยเหมือน วันแรกที่เราคบกัน
จามไว้
สุดท้ายเราขอบอกว่าผู้ชายคนนี้ คือคนที่เราจะรักตลอดป่าย
น้องปลายรักเพ่เต้มากมากนะคัฟ สุดที่รัก

ฉัน รัก เธอ” (น่ารักมากคับ ^-^)
เมื่อตอนอายุ 5 ปี ..ฉันบอกว่า..ฉันรักเธอเธอเอียงคอน้อยๆ ..กระพริบตา-อันกลมโตของเธอ ..แล้วถามฉันว่า …“หมายความว่า..อะไรหรือ?”----------
เมื่อตอนอายุ 15 ปีฉันบอกว่า...ฉันรักเธอเธอหน้าแดงก่ำ ..ก้มหน้า-เล่นชายเสื้อเธอเองรู้สึกว่า..เธอกำลังยิ้มอยู่----------
เมื่อตอนอายุ 20 ปีฉันบอกว่า..ฉันรักเธอเธอซบลงบนไหล่ฉัน ..กอดแขนฉันไว้แน่นราวกับกลัวว่า...ฉันจะหายจากไป..ต่อหน้าเธอ----------
เมื่อตอนอายุ 25 ปีฉันบอกว่า...ฉันรักเธอเธอวางอาหารเช้าไว้บนโต๊ะ ..แล้วเดินมาดึงจมูกฉัน...พร้อมกับพูดว่า...“รู้แล้ว! ตื่นขึ้นมาได้แล้ว ..จะนอนไปถึงไหน?”----------
เมื่อตอนอายุ 30 ปีฉันบอกว่า..ฉันรักเธอเธอหัวเราะ..แล้วพูดว่า“ถ้าเธอรักฉันจริงๆ ..เลิกงานแล้ว..ก็อย่าเถลไถลไปที่อื่นสิแล้วก็..อย่าลืมซื้อกับข้าวมานะ!”----------
เมื่อตอนอายุ 40 ปีฉันบอกว่า..ฉันรักเธอเธอเก็บจานชามบนโต๊ะไปล้าง...พร้อมกับพูดว่า“รู้แล้ว.. รู้แล้ว...รีบๆไปสอนการบ้านให้ลูกไป!”----------
เมื่อตอนอายุ 50 ปีฉันบอกว่า..ฉันรักเธอเธอนั่งถักเสื้ออยู่ ..แล้วพูดกับฉัน..โดยที่ไม่ได้เงยหน้าขึ้นมา“จริงหรือ? ในใจเธอ..ไม่ใช่คิดอยากจะให้ฉันตายเร็วๆรึไง?”แล้ว..เธอก็หัวเราะไม่หยุด----------
เมื่อตอนอายุ 60 ปีฉันบอกว่า..ฉันรักเธอเธอหัวเราะ-พลางทุบไหล่ฉัน“ตาบ้า! ลูกๆก็โตกันหมดแล้ว.. ยังจะมาทำปากหวานอีก!”----------
เมื่อตอนอายุ 70 ปีเรา..นั่งอยู่บนเก้ายาว ..ทบทวนจดหมายรัก...ที่ฉันเขียนให้เธอ...เมื่อ 50 ปีก่อน..ด้วยกันมืออันเหี่ยวย่น-ของเราสองคน..ก็จับกันไว้ตลอดเมื่อฉันบอกว่า..ฉันรักเธอเธอมองหน้าฉัน-แล้วยิ้มให้ถึงแม้ใบหน้าเธอ..จะเต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นแต่..เธอก็คงยังแลดูสวยงาม..เสมอ----------
เมื่อตอนอายุ 80 ปีเธอบอกว่า..เธอรักฉันแต่..ฉันไม่ได้พูดอะไร-สักคำเพราะว่า..ฉันร้องไห้ออกมานี่..เป็นวันที่ฉันมีความสุข..มากที่สุดในชีวิตเพราะว่า..ในที่สุด..เธอก็ยอมพูดออกมาว่า..“ฉัน รัก เธอ”

อย่าทำลายรักของคุณด้วยคำว่า "เบื่อ"
หลังจากหมดช่วงข้าวใหม่ปลามัน คู่แต่งงานส่วนใหญ่ มักจะให้ความสนใจ ในเรื่องการสร้างครอบครัวเป็นหลัก ยิ่งถ้าอยู่ในฐานะคุณแม่บ้านด้วยแล้วล่ะก็ ยิ่งแล้วใหญ่ค่ะ เพราะต้องรับบทหนักทั้งงานราษฎร์งานหลวง สุดท้ายก็ไม่เหลือ เวลาส่วนตัวให้ตัวเองได้หายใจหายคอ หรือเอาอกเอาใจคนรักอย่างที่เคยทำ ของแบบเนี้ยนะ ยิ่งนานก็ยิ่งชิน ยิ่งชินก็ทำให้เบื่อ และนี่แหละคือ ที่มาของโรคเบื่อ ที่จะทำให้คุณ กลายเป็นแม่น้ำพริกถ้วยเก่า ของคุณสามี ที่ยังรักชอบความ ตื่นเต้นในชีวิตอยู่ไปเสียฉิบทำยังไงไม่ให้ "เบื่อ"1. ความเชื่อใจกัน ความเชื่อใจนี้ ถือเป็นการให้เกียรติ และการยอมรับในความ ต้องการ ที่แตกต่างของกันและกัน หมายถึงทั้งคู่ต้องไม่โกหก หลอกลวง และจะไม่พูด หรือทำ สิ่งใดที่ทำให้อีกคนต้องเสียใจ หรือเป็นการ ทำลายชีวิตคู่ 2. การรักษาสัญญา นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิตแต่งงาน เมื่อคุณได้ให้สัญญาต่อกัน สัญญานั้น เปรียบเสมือนเกราะป้องกัน ไม่มีสิ่งใดมาทำลาย ความรักของคุณได้ "จะรักคุณ.ไม่ว่ายามเจ็บหรือยามสบาย จะรักคุณจนกว่าชีวิต จะหาไม่" คำสัญญานี้ จะสิ้นสุดก็ต่อเมื่อ ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายจาก กันไปเท่านั้น การรักษาคำมั่นสัญญา นอกจากจะช่วยให้คุณทั้งสอง สามารถ ผจญกับ อุปสรรคต่างๆ จนไปถึงเป้าหมายสูงสุดได้แล้ว มันยัง ช่วยให้คุณดิ่งลงสู่ ก้นเหวแห่งความทุกข์..เพราะคุณ ผิดคำ สัญญานั้น3. มีทักษะความชำนาญ ชีวิตแต่งงาน เป็นการที่คนทั้งสอง ตกลงว่าจะอยู่ด้วยกัน ไปตลอดชีวิต ซึ่งต้องอาศัยการทำความเข้าใจกันมากเป็นพิเศษ คุณต้องสามารถ แสดงออกว่า ต้องการอะไร รู้จักรับฟังเหตุผล ของอีกฝ่าย สามารถ ตัดสินใจ ในเรื่องต่างๆ ได้ดี สามารถไกล่ เกลี่ยต่อรองได้ แก้ปัญหาข้อขัดแย้งได้ ให้ความสนใจที่จะ พูดคุยกัน และแน่นอน คุณจำเป็นต้องรู้ ว่าจะทำมาหา กินอะไร และรู้วิธีทำ อาหาร วิธีดูแลบ้านช่องให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสำคัญที่สุด วิธีการเป็นพ่อเป็นแม่คนที่ดี เขาทำกันอย่างไร4. การเอาใจใส่ดูแล วิธีทะนุถนอมให้ชีวิตคู่ยืนยาวนั้น คุณต้องรู้จักวิธี เอาอกเอาใจ กันบ้าง บางคู่แค่มองตา ก็รู้ว่าต้องการอะไร และจะทำแต่สิ่งที่เขา ชอบ และจะไม่ ทำอะไรที่เขาไม่ชอบให้ขุ่นเคืองใจ ซึ่งจะทำให้อีก ฝ่าย รู้สึกมีความสุขเหลือเกิน ที่ได้คุณเป็นคู่ชีวิต5. การเอาใจเขามาใส่ใจเรา "จงทำกับคนอื่นเหมือนกับ ที่อยากให้คนอื่นทำกับคุณ" หมายความ ว่า การจะทำสิ่งใดก็ตาม ให้คุณคิดก่อนว่า เมื่อทำแล้ว จะทำให้เกิด ผลดี ผลเสียกับใครหรือเปล่า ถ้าไม่ดีก็อย่าทำ เพราะ คุณคงไม่ อยาก ให้ใครมา ทำแบบนั้น กับคุณเหมือนกัน วิธีนี้นอกจาก จะช่วยป้องกันไม่ให้คุณทำอะไร ที่จะทำร้ายจิตใจ คนที่คุณรัก แล้วยังเป็นเหมือน ตาข่ายที่จะช่วยกลั่นกรอง ให้คุณ ทำหน้าที่สามีหรือภรรยาที่ดี ได้สำเร็จอีกด้วย6. ความเพียร จะมีประโยชน์อะไร ถ้าคุณเป็นคนที่ เชื่อใจได้ รักษาสัญญา มีความ รู้ มีทักษะ และรู้วิธีดูแล เอาใจใส่ แต่ไม่ได้ใช้มัน การที่ชีวิตคู่จะ อยู่ดีมีสุขได้ คุณต้องใช้ ความพยายามในทุกๆ ด้าน ตลอดทั้งชีวิต ของคุณ ทีเดียว7. การคาดหวัง เหตุผลอย่างหนึ่ง ที่ทำให้คู่สามีภรรยารู้สึกว่าชีวิตแต่งงาน ของตัว เองล้มเหลว เมื่อพบว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ตั้งความหวังกับ ตัวเองไว้สูงมาก เป็นเรื่องปกติที่ คนเราจะวาดวิมานในอากาศ ถึงความสุขีสุโข กับชีวิตคู่ โดยคาดหวังว่า คู่ของตัวจะต้องเลิศ เลอเพอร์เฟค เป็นเพื่อนคู่คิดที่ดี เป็นตู้ ATM ให้กดได้ตลอดเวลา และที่สำคัญ มีความช่ำชองที่สุด กับเรื่องบนเตียง เฮ้ย.. ดูท่าความ ฝัน คงไม่มีทางเป็นจริงได้! เพราะเรื่องจริงกับ ความฝัน มันช่าง ห่างไกลกันเหลือเกิน แน่นอนที่คุณจะต้อง พบกับความผิดหวังครั้ง ใหญ่ ต้องเผชิญกับความล้มเหลว ความ เสียใจ แต่เชื่อเถอะ ในที่สุด คุณจะค่อยๆ ยอมรับความจริงได้เอง วิธีบำรุงชีวิตคู่ให้สุขสันต์เลือกเวลาเหมาะๆ เพื่อใช้เป็น เวลาอันมีค่า สำหรับพูดคุยกับ คนรักเกี่ยวกับ ชีวิตคู่ของคุณทั้งสองหมั่น แลกเปลี่ยนความคิด ความรู้สึก และความต้องการของคุณ แต่เฉพาะในแง่ดีและสร้างสรรค์เท่านั้น เพราะยังไม่ถึงเวลา ที่จะมาต่อว่าหรือโต้เถียงกันกล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึก ที่เป็นตัวตนจริงๆ ออกมา ไม่ว่าจะอยู่ใน อารมณ์แบบไหน : สนุกสนานเริงร่า เจ็บช้ำน้ำใจ เพ้อฝัน หรือแม้ แต่ เวลายินดี มีความสุข) โดยไม่ต้องคำนึงถึง เหตุผล ดีเลว และถูกผิด ใดๆทั้งสิ้นคิดจะพูด ก็ให้พูด เพื่อตัวคุณเอง โดยใช้คำเหล่านี้ "ฉันรู้สึกว่า" "ฉันอยากจะ.." "ฉันคิดว่า.." "ฉันชอบ.." แต่อย่าพูด แบบกลัวๆ กล้าๆ "คุณว่า…" หรือ "เขาพูดกันว่า…" มันทำให้คุณดูไม่มีความ มั่นใจในตัวเองค่อยพูดค่อยจากัน ด้วยภาษาดอกไม้ ให้ฟังแล้วรื่นหู "ฉันชอบจังค่ะ เวลาที่คุณช่วยฉันล้างจาน" พูดอย่างไรก็ได้ ให้คนฟังรู้สึกดีๆ และไม่เป็น การจุดชนวน สงครามน้ำลาย ขึ้นกลางวงควรให้มีการ "ขอเวลานอก" ในกรณีที่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด รู้สึกอึดอัด หรือยังไม่พร้อมที่จะสนทนาในเรื่องนั้นๆ ต่อ ก็สามารถ "ขอเวลา นอก" ซึ่งอาจจะพักสักครู่หนึ่ง หรือไม่ก็เปลี่ยนหัวข้อ การสนทนาซ่ะ โดยไม่ต้องถามเหตุผลใดๆ ทั้งนั้น เพราะเราจะรู้ สึกสนุก กับการ เล่า ก็ต่อเมื่อ เราสามารถเลือกเรื่อง เลือกเวลา ที่เราอยากเล่าได้หัดฟังคนอื่นเขาบ้าง และต้องฟังอย่างตั้งใจด้วย ว่าที่เขาพูด หมายความว่าอย่างไร แล้วลองเช็คกลับไป ด้วยการพูดทวนว่า ที่คุณเข้าใจนั้น ถูกต้องตามที่เขาพูดไหม จำไว้ว่า "เมื่อไรที่ไม่แน่ ใจ ไม่เคลียร์ ให้ถามได้เลย! "


คุณดูแลต้นแคร์ของคุณดีแค่ไหน ...
เวลามีปัญหา เวลามีเรื่องกระทบกระทั่งกันเคยแคร์ความรู้สึกคนอื่นบ้างใหม? เคยคิดถึงใจเขา - ใจเรา หรือไม่ ? ช่างมันฉันไม่แคร์ หรือ เขาไม่มีค่าพอให้เราแคร์ ! แคร์ความรู้สึกคนอื่นไม่ใช่เรื่องอ่อนแอ แต่เป็นเรื่องอ่อนโยน มิใช่เรื่องแข็งกระด้าง แต่เป็นเรื่องจิตใจที่แข็งแกร่ง มิใช่เรื่องพ่ายแพ้ แต่เป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ เธอง้อฉันก่อนสิ ! ต่างคนต่างรอ สุดท้ายก็จะเป็นศิลามนุษย์ เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะเริ่มเป็นคนที่อ่อนโยน เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะปรับตัวก่อน เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะขอโทษเป็น เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น เราจะยอมแพ้โดยง่ายดาย เมื่อแคร์ความรู้สึกคนอื่น สุดท้ายคนอื่นก็จะต้องกลับมาแคร์คุณ……… ต้นแคร์เมื่อปลูกแล้วอย่าให้โตเองโดยธรรมชาติ แต่เจ้าของชีวิตต้องรดน้ำพรวนดินสม่ำเสมอ ต้นแคร์ไม่มีในหัวใจของคนแข็งกระด้าง แคร์คนอื่นเขาบ้าง ให้ความอาทรเป็นดั่งสายธารหลั่งใหลที่ฉ่ำชื่น แล้วเราจะเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ มีจิตใจดีงาม มีเสน่ห์ แล้วทุกวันนี้ล่ะ คุณดูแลต้นแคร์ของคุณดีแค่ไหน ...

เรื่องน่ารักๆ ของกามเทพและหัวใจ
ในอดีตกาลนามมาแล้ว เค้าว่ากันว่า มนุษย์ทุกคนมีหัวใจด้วยกันจริงๆแล้วทั้งหมดสองดวง แต่ยังมีเทวดาน้อยอยู่องค์หนึ่งซึ่งไม่รู้จักสิ่งที่เค้าเรียกว่าหัวใจ ด้วยความที่สงสัยว่าหัวใจนั้นมันเป็นอย่างไร เทวดาน้อยจึงได้ไปถามนางฟ้าผู้ที่ดูแลทางเข้าออกของประตูสวรรค์… “ท่านนางฟ้า โปรดบอกข้า หัวใจคืออะไร…?” “หัวใจ…ก็คือสิ่ง บริสุทธิ์ สวยงาม ที่สุดของมนุษย์ยังไงเล่า” “แล้วสิ่งที่เรียกมนุษย์อยู่แห่งใดล่ะ…?” “อยู่เบื้องล่างยังอีกฟากของประตูสวรรค์นี่ยังไงเล่า” “เปิดประตูให้ข้าไปชมหัวใจของมนุษย์ได้มั้ย นางฟ้า…?” “มิได้หรอก มันผิดกฎของสวรรค์ เจ้ากลับไปซะเถอะ แค่เจ้ามาสนทนากับข้าก็ผิดมากเท่าใดแล้ว เจ้ารู้ตัวมั้ย เจ้าเทวดาน้อย” เทวนาน้อยทำทีว่าหันหลังกลับไป แต่ด้วยความที่อยากได้หัวใจมาครอบครองไว้เป็นของตน จึงได้นำคันศรธนูมา ล้วยิงไปที่นางฟ้าผู้รักษาประตูสวรรค์หวังจะให้นางฟ้านั้นสลบไปในชั่วข้ามคืนนั้นเองเทวดาน้อยแอบเปิดประตูสวรรค์แล้วบินไปยังโลกมนุษย์ กลางดึกของคืนนี้เป็นคืนที่เงียบสงบ มนุษย์ทุกคนต่างหลับกันหมดแล้ว เทวดาน้อยจึงแอบบินเข้าไปในบ้านของมนุษย์ทุกคน แล้วไปเอาสิ่งที่เรียกว่า “หัวใจ” ของทุกคนบนโลกมนุษย์ มาคนละหนึ่งดวง แล้วนำลอยขึ้นไปบนสวรรค์ หวังจะขโมยกลับไปเป็นของตน แต่ระหว่างที่เทวดาน้อยกำลังกลับเข้าไป ปากทางของประตูสวรรค์ได้มีนางฟ้าและเทวดาแห่งความรักยืนกั้นอยู่ เทวดาน้อยเห็นดังนั้นจึงบินหนี แต่นางฟ้าองค์หนึ่งได้บินตามเพื่อมาแย่งหัวใจของมนุษย์ทั้งหมดมาไว้ แต่เหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อหัวใจทั้งหมดได้เกิดกระจายออกแล้วร่วงโปรยปรายไปยังบนโลกมนุษย์และได้เกิดการสลับสับเปลี่ยนเจ้าของหัวใจกันในค่ำคืนนั้นเอง… เทวดาน้อยถูกลงโทษด้วยการเป็นเด็กตลอดกาล และเปลี่ยนชื่อเป็นกามเทพให้อยู่บนโลกมนุษย์เพื่อตามหาหัวใจสองดวงของมนุษย์ที่ไ ปอยู่กับใครอีกดวงหนึ่ง ให้มาพบกันตลอดไป ตอนนี้หัวใจของคุณอีกดวงหนึ่งก็คงอาจจะอยู่กับใครบนโลกใบนี้ก็เป็นได้ อย่ารอให้ กามเทพ เป็นคนหาหัวใจให้คุณ… ถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องตามหาหัวใจของคุณคืนมา และเมื่อคุณได้มันคืนมาแล้ว จงดูแลหัวใจคุณให้ดี อย่าได้ปล่อยให้หัวใจมันจากคุณไปอีก… เพราะคุณอาจจะไม่มีวันเจอหัวใจอีกดวงที่แท้จริงของคุณตลอดชีวิต หรือชั่วชีวิตก็เป็นได้ - - -

เมื่อเรารักกัน
When we inlove
เมื่อเรารักกัน...ไม่ต้องคิดว่าจะโง่หรือจะฉลาด ไม่ต้องคิดว่าถ้าเชื่อเค้าแล้วเราจะโง่ในสายตาใครๆ ไม่ต้องคิดว่าถ้าเปิดหูตารับฟังปากชาวบ้านเป็นการฉลาด ไม่ต้องคิดว่าถ้าเชื่อว่าเค้ารักเราคนเดียวเป็นเรื่องโง่ ไม่ต้องคิดว่าถ้ารู้ว่าเค้าทำอะไรเพื่ออะไรเป็นเรื่องฉลาด ไม่ต้องคิดว่าถ้าให้โอกาสเค้าเรื่อยๆ เป็นเรื่องโง่ ไม่ต้องคิดว่าถ้าตั้งกฎเกณฑ์แล้วจะฉลาด เมื่อเรารักกัน...เราไม่ได้เล่นเกม ไม่ใช่เล่นหมากรุกที่ต้องมองเชิงกันก่อน ไม่ใช่เล่นวิ่งไล่จับ..คนหนึ่งหนีคนหนึ่งวิ่งตาม ไม่ใช่เล่นซ่อนหา..ต้องตามจิกตามหาตลอดเวลา ไม่ใช่เล่นโยนเหรียญ..สุ่มเอาว่าจะหัวหรือก้อย เมื่อเรารักกัน...เราไม่ได้ทดลอง action = reactionเวลาเราให้เค้าไปไม่จำเป็นว่าต้องได้รับกลับ เวลาเค้าโมโหใส่ไม่จำเป็นต้องโมโหกลับ เวลาเค้าทำไม่ดีกับเราไม่จำเป็นต้องทำบ้าง เวลาเค้าไม่ทำดีให้ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรทำให้เค้า เมื่อเรารักกัน...เราไม่ได้ทดสอบทฤษฎี Demand & Supply ไม่เสมอไปที่ต้องการความรักมากๆแล้วเค้าจะมีให้เราน้อย ไม่เสมอไปที่ให้ความรักเค้ามากๆแล้วราคาความรักจะต่ำ ไม่เสมอไปที่จะมีจุดที่ความต้องการเท่ากับความรักที่ให้ เมื่อเรารักกัน....ไม่จำเป็นต้องหาเหตุผลให้กับเหตุการณ์ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องกลัวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่จำเป็นที่ต้องบอกเค้าว่า.... " เค้าคงไม่เห็นคุณค่าของสิ่งของที่เค้ามีถ้า เค้ายังไม่เสียมันไป...." รักกันไม่จำเป็นต้องขู่กันเรื่องความสำคัญ รู้อยู่ในใจก็พอ...ว่าเรารักกัน จำไว้ให้แน่นใจ...กับเรื่องดีๆที่เค้าพูด จำไว้ให้อบอุ่นใจ...กับสิ่งดีๆ ที่เค้าทำให้เรา ค้นมันออกมาเวลาเหงาใจ ค้นมันออกมาเวลาไม่มั่นใจ ค้นมันออกมาเวลาเสียใจ เพราะว่าเวลาใจเราอ่อนแอ สิ่งดีๆ ของเราสองคนมักจะหายไป อย่าปล่อยให้มันหายไป....เพราะ คนที่เค้าเคยทำให้เราอาจจะเสียใจ ที่เราหลงลืมเรื่องดีๆเหล่านั้นแล้ว Keep asking all the time

เรื่องดีๆของ น้องชาย...และพี่สาว
ฉันเกิดในหมู่บ้านบนภูเขาที่ห่างไกลผู้คนแต่ละวันพ่อแม่ของฉันต้องพรวนดินในไร่ท่ามกลางแดดที่ร้อนระอุฉันมีน้องชายอยู่หนึ่งคน อายุน้อยกว่าฉัน 3ปีวันหนึ่งฉันขโมยเงินของพ่อเพื่อไปซื้อผ้าเช็ดหน้าที่เพื่อนๆของฉันมีกันจากนั้นพ่อก็รู้เรื่องพ่อให้ฉันกับน้องคุกเข่าหันหน้าเข้าหากำแพงโดยที่ในมือพ่อมีก้านไม่ไผ่อยู่หนึ่งก้าน"ใครขโมยเงินไป" พ่อตวาดฉันกลัวมาก ไม่กล้าพูดอะไรออกไป น้องชายฉันก็เช่นกันพ่อจึงเอ่ยขึ้นว่า"ก็ได้ ในเมื่อไม่มีคนรับสารภาพก็ต้องโดนลงโทษทั้งคู่นั่นล่ะ"พ่อชูก้านไม้ไผ่ในมือขึ้นทันใดนั้น น้องชายของฉันก็ลุกขึ้นคว้าข้อมือของพ่อไว้แล้วพูดว่า"ผมขโมยเองครับ"ก้านไม้ไผ่ก้านนั้นได้กระหน่ำลงบนหลังของน้องของฉันอย่างต่อเนื่องพ่อโกรธมาก พ่อตีน้องของฉันไม่หยุดจนพ่อหอบด้วยความเหนื่อยพ่อนั่งลงบนเก้าอี้ และด่าว่าน้องชายของฉัน"ของคนในบ้านแกเอง แกยังขโมยได้ต่อไปแกจะทำชั่วอะไรอีกแกน่าจะโดนตีให้ตาย ไอ้หัวขโมย"คืนนั้น ฉันกับแม่กอดน้องชายของฉันไว้หลังของน้องมีแผลเต็มไปหมดแต่เขาไม่ได้ร้องไห้แม้แต่น้อยกลางดึกคืนนั้น ฉันนอนร้องไห้เสียงดัง และนานมากน้องเอามือเล็กๆ ของเขามาปิดปากฉันไว้ แล้วพูดว่า"พี่ครับ ไม่ต้องร้องไห้นะมันผ่านไปแล้ว"ยังไงฉันก็อดที่จะเกลียดตัวเองไม่ได้ที่ไม่มีความกล้าจะบอกความจริงกับพ่อหลายปีผ่านไปแต่เหมือนกับว่าเหตุการณ์มันเพิ่งเกิดเมื่อวานนี้เองฉันไม่อาจลืมคำพูดของน้องชายตอนที่เขาปกป้องฉันได้เลยตอนนั้นน้องของฉันอายุ 8ปี ส่วนฉันอายุ 11ปี...เมื่อตอนที่น้องชายของฉันใกล้จบ ม.ต้นเขาได้รับการตอบรับจากโรงเรียนม.ปลาย ว่าเขาสอบได้ ในขณะที่ฉันซึ่งใกล้จบ ม.ปลายก็ได้รับการตอบรับจากมหาวิทยาลัยของจังหวัดเช่นกันคืนนั้น พ่อได้นั่งสูบบุหรี่อยู่ที่สวนหลังบ้านฉันแอบได้ยินพ่อพูดว่า "ลูกเราทั้งคู่เรียนดีเรียนดีมากนะ"แม่ซึ่งนั่งเช็ดน้ำตาอยู่ข้างๆ พ่อ ได้พูดว่า"แล้วเราจะส่งเสียลูกทั้งคู่ได้อย่างไรในเมื่อเราก็ไม่ค่อยมีเงิน"ทันใดนั้น น้องชายของฉันได้เดินเข้าไปหาพ่อ แล้วพูดว่า"ผมไม่ต้องการเรียนต่อผมอ่านหนังสือมามากพอแล้ว"พ่อเหวี่ยงมือตบลงที่แก้มของน้องของฉันฉาดใหญ่"ทำไมถึงคิดโง่ๆ อย่างนี้ต่อให้พ่อต้องไปเป็นขอทานข้างถนนพ่อก็จะส่งแกทั้งคู่เรียนจนจบให้ได้"คืนนั้นทั้งคืน พ่อได้เดินไปตามบ้านต่างๆทั่วทั้งหมู่บ้านเพื่อขอยืมเงินฉันค่อยๆ เอามือประคบแก้มบวมๆ ของน้องชายเบาๆ และคิดว่า"ต้องให้น้องได้เรียนต่อไม่เช่นนั้นเขาคงไม่อาจหลุดพ้นชีวิตลำบากเช่นนี้ไปได้"แต่ในขณะเดียวกันฉันก็ไม่อาจล้มเลิกความคิดอยากจะเรียนต่อไปได้ใครจะรู้ได้ ... วันต่อมาในตอนเช้ามืดน้องชายของฉันได้ออกจากบ้านไปพร้อมทั้งเสื้อผ้าติดตัวเพียงไม่กี่ชิ้นและถั่วเพียงเล็กน้อยเพื่อประทังความหิวก่อนไปเขาได้ทิ้งข้อความไว้ใต้หมอนของฉันขณะฉันกำลังหลับ"พี่ครับ การจะเข้ามหาวิทยาลัยได้ ไม่ใช่ง่ายๆ นะ ....ผมจะไปหางานทำแล้วจะส่งเงินมาให้พี่"ฉันนั่งอยู่บนเตียงอ่านข้อความของน้องชายด้วยน้ำตานองหน้า ...ฉันร้องไห้จนเสียงแหบแห้งไปตอนนั้นน้องของฉันอายุ 17ปี ส่วนฉันอายุ 20ปี ด้วยเงินที่พ่อยืมมาจากคนในหมู่บ้านรวมกับเงินที่น้องชายของฉันได้รับเป็นค่าจ้างมาจากการทำงานเป็นกรรมกรแบกหามที่ไซท์ก่อสร้าง ...ฉันจึงสามารถเข้าเรียนมหาวิทยาลัยได้จนถึงปี 3วันหนึ่งขณะที่ฉันกำลังอ่านหนังสืออยู่ในห้องพักเพื่อนร่วมห้องของฉันได้เข้ามาบอกว่า "มีชาวบ้านมาหาเธออยู่ข้างนอกแน่ะ"ทำไมชาวบ้านถึงมาหาฉันล่ะ ???ฉันเดินออกไปแล้วมองเห็นน้องชายของฉันยืนอยู่ตัวของเขาเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุ่นปูนและทรายจากงานก่อสร้าง...ฉันถามเขาว่า"ทำไมไม่บอกเพื่อนพี่ไปว่าเป็นน้องชายพี่ล่ะ"น้องชายของฉันตอบยิ้มๆ ว่า "ก็ดูผมสิสกปรกมอมแมมออกอย่างนี้ขืนบอกว่าเป็นน้องพี่ เพื่อนๆก้อได้หัวเราะเยาะพี่กันพอดี"ฉันค่อยๆ เอื้อมมืออันสั่นเทาไปปัดฝุ่นให้น้องและพยายามพูดด้วยเสียงเครือๆในลำคอ"พี่ไม่สนใจว่าใครจะพูดยังไงเธอเป็นน้องของพี่ ไม่ว่าเธอจะดูเป็นอย่างไรก็ตาม"จากนั้น น้องของฉันได้ล้วงบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงเป็นกิ๊บหนีบผมรูปผีเสื้อ . เขาติดกิ๊บให้ฉันแล้วพูดว่า"ผมเห็นสาวๆ ในเมืองเค้าติดกัน ผมเลยอยากให้พี่ติดบ้าง"ฉันหมดเรี่ยวแรงลงในทันใดดึงน้องชายเข้ามาสวมกอดและร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าเป็นเวลานานตอนนั้นน้องของฉันอายุ 20ปี ส่วนฉันอายุ 23ปี วันที่ฉันพาแฟนหนุ่มของฉันมาที่บ้านเป็นครั้งแรกฉันสังเกตเห็นว่าหน้าต่างบ้านที่เคยแตกไป ได้ถูกซ่อมเรียบร้อยแล้วเมื่อเข้าไปในบ้านก็เห็นว่าบ้านสะอาดขึ้นมากหลังจากที่แฟนของฉันกลับไป ฉันพูดกับแม่ว่า"แม่ไม่ต้องเสียเงินเพื่อทำความสะอาดบ้านกับซ่อมกระจกเพียงเพราะหนูจะพาแฟนมาที่บ้านหรอกนะคะ"แม่ยิ้ม แล้วพูดว่า "แม่ไม่ได้จ้างหรอกน้องชายลูกต่างหากวันนี้เค้าขอเลิกงานเร็วเพื่อกลับมาทำความสะอาดบ้านลูกยังไม่เห็นมือน้องหรอกเหรอน้องโดนกระจกบาดตอนกำลังเปลี่ยนกระจกบานใหม่น่ะ"ฉันรีบเข้าไปหาน้องที่ห้องนอนของเขาฉันรู้สึกเหมือนถูกเข็มนับร้อยเล่มทิ่มลงกลางใจเมื่อได้เห็นบาดแผลบนมือฉันจับมือน้องเอาไว้อย่างเบามือที่สุด "เจ็บมากไหม"ฉันถาม"ไม่เจ็บสักหน่อย พี่ก็รู้นี่ผมทำงานก่อสร้างนะ วันๆมีหินตกมาใส่เท้าผมเต็มไปหมดแต่มันก็ไม่ได้ทำให้ผมคิดเลิกทำงานหรอกนะและ..."น้องชายของฉันยังพูดไม่จบประโยค แต่ก็ต้องหยุดพูดเพราะฉันหันหน้าหนีเขาน้ำตาไหลอาบหน้าของฉันอีกครั้งตอนนั้นน้องของฉันอายุ 23ปี ส่วนฉันอายุ 26ปี...หลังจากนั้น ฉันก็ได้แต่งงานและย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองหลายครั้งที่สามีของฉันชักชวนให้พ่อแม่ของฉันย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองด้วยกัน...แต่ท่านทั้งสองก็ปฏิเสธท่านบอกว่า ท่านเคยย้ายออกจากหมู่บ้านครั้งหนึ่งแต่เมื่อออกไปแล้วท่านไม่รู้จะทำอะไรดีจึงได้ย้ายกลับเข้ามาใช้ชีวิตในหมู่บ้านตามเดิมน้องชายของฉันก็ไม่เห็นด้วยกับการที่จะให้เขาและพ่อแม่ย้ายออกไป...เขาบอกกับฉันว่า"พี่คอยอยู่ดูแลพ่อและแม่ของสามีพี่ทางนั้นเถอะผมจะดูแลพ่อและแม่ทางนี้เอง"สามีฉันได้ขึ้นเป็นประธานของบริษัทของครอบครัวเราทั้งคู่อยากให้น้องชายของฉันเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการบริษัท...แต่น้องชายของฉันก็ไม่รับตำแหน่งนี้เขาขอเข้าทำงานในตำแหน่งพนักงานธรรมดาวันหนึ่ง น้องชายของฉันต้องปีนบันไดขึ้นไปซ่อมสายเคเบิลและตกลงมาเพราะโดนไฟดูดเขาถูกรีบหามส่งโรงพยาบาลฉันและสามีรีบไปเยี่ยมเขาที่โรงพยาบาลน้องชายของฉันขาหักต้องเข้าเฝือกที่ขา... ฉันโกรธมาก จึงตวาดน้องไปว่า"ทำไมถึงไม่ยอมรับตำแหน่งผู้จัดการ หา!!!ถ้าเป็นผู้จัดการก็จะได้ไม่ต้องมาทำงานเสี่ยงๆ อย่างนี้ดูตัวเองซิเจ็บเจียนตายอยู่แล้ว ทำไมถึงไม่ยอมฟังพี่บ้าง"คำตอบจากปากน้องของฉันรวมถึงสีหน้าเคร่งเครียดยังยืนยันความคิดเดิมของเขา"พี่ลองคิดถึงพี่เขยสิครับ พี่เขยเพิ่งจะได้เป็นประธานส่วนผมมันการศึกษาต่ำถ้าผมได้เป็นผู้จัดการคงจะมีเสียงนินทาว่าร้ายเต็มไปหมด"น้ำตาปริ่มดวงตาของฉันรวมทั้งสามีของฉันด้วย ฉันบอกกับน้องว่า"แต่ที่เธอไม่ได้เรียนต่อก็เพราะพี่...""ทำไมต้องพูดถึงเรื่องที่ผ่านไปแล้วด้วยล่ะครับ"น้องชายของฉันจับมือฉันไว้ตอนนั้นน้องของฉันอายุ 26ปี ส่วนฉันอายุ 29ปี...เมื่อน้องชายของฉันอายุได้ 30ปีเขาได้แต่งงานกับสาวชาวนาในหมู่บ้านเดียวกันในงานแต่งงาน ประธานในงานได้ถามน้องชายของฉันว่า"ใครคือคนที่คุณรักที่สุดในชีวิตนี้"น้องชายของฉันตอบอย่างไม่ลังเล "พี่สาวของผมครับ" และเขาก็เล่าเรื่องราวที่แม้แต่ฉันยังจำไม่ได้"ตอนผมอยู่โรงเรียนประถม โรงเรียนอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่งเราสองคนพี่น้องต้องใช้เวลาถึง 2ชม. เพื่อเดินไปเรียนและเดินกลับบ้านวันหนึ่งผมทำถุงมือหายไปข้างหนึ่งพี่สาวผมจึงได้ให้ถุงมือของเธอข้างหนึ่งและเธอก็ใส่ถุงมือเพียงข้างเดียวเดินเป็นระยะทางไกลเมื่อเรากลับถึงบ้านมือเธอบวมแดงเพราะอากาศหนาวเธอไม่สามารถจับช้อนทานข้าวได้ด้วยซ้ำ ... นับจากวันนั้นผมสาบานกับตัวเองว่าตลอดชีวิตของผม ผมจะดูแลพี่สาวของผมให้ดีและจะทำดีกับเธอ"เสียงปรบมือดังกึกก้องไปทั่วสายตาทุกคู่ของแขกเหรื่อหันมาจับจ้องที่ฉันคำพูดจากปากฉันออกมาอย่างยากลำบาก ... "ในโลกใบนี้คนเดียวที่ฉันรู้สึกขอบคุณที่สุด คือน้องชายของฉันค่ะ"ในวาระที่มีความสุขที่สุดเช่นนี้น้ำตาได้รินไหลออกมาจากสองตาของฉันอีกครั้ง...จงรัก และห่วงใยคนที่คุณรักในทุกๆวันในชีวิตของคุณและเขาคุณอาจจะคิดว่าสิ่งที่คุณทำให้ใครสักคนเป็นเพียงสิ่งเล็กๆน้อยๆแต่สำหรับคนคนนั้นอาจจะมีความหมายมากอย่างคาดไม่ถึง..ไม่ว่าเขาคนนั้นจะคือพ่อ แม่ พี่ น้อง ญาติ คนรัก เพื่อนหรือแม้คนที่คุณไม่รู้จัก ก็ตาม


ทำไมหัวใจของเราถึงอยู่ด้านซ้าย
เราใส่นาฬิกามือซ้ายที่ใส่มือซ้ายเพราะถนัดขวายกมือซ้ายขึ้นมาดูเวลาได้ง่ายแต่ถึงมีนาฬิกาเราก็ชอบไปสายอยู่ดีนาฬิกาก็แค่บอกเวลา..ไม่ได้ทำให้เราไปเร็วขึ้นคิดดูแล้ว..หัวใจก็อยู่ทางซ้ายเหมือนกันบางทีเราก็คิดนะ..ว่าอวัยวะในร่างกายที่มี2ชิ้นจะอยู่ซ้าย-ขวาอย่างแขน,ขา,ลูกกะตาทำนองนั้น..แล้วที่มีชิ้นเดียว..ก็แสดงความโดดของมันอย่างจมูก,สะดือก็อยู่ตรงกลาง..ประมาณนั้นแล้วทำไม..หัวใจถึงเอียงซ้ายล่ะ??บางทีเราก็คิดว่า..ที่เป็นงั้นก็เพราะใครบางคนอยากเตือนให้เรารู้ว่า..หัวใจเราไม่หนักแน่นพอจะอยู่ตรงกลางแล้วก็ไม่มีมากพอจะแบ่งเป็นสองด้วยเหมือนกัน


www.narak.com/poem

Wednesday, February 07, 2007